วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แนะนำการใช้งานโปรแกรม1โปรแกรม( Steam )

วันนี้เราจะมารู้จัก Steam กันนะครับ

Steam คือโปรแกรมที่จะรวมเกมในหลายๆด้าน จากหลายๆค่ายมารวมกันมาไว้ในที่ๆเดียว
Steam ดียังไง Steamรับชำระเงินค่าสั่งซื้อเกมต่างๆ บน Steam ซึ่งเกมบน Steam ทุกเกม เมื่อสั่งซื้อแล้ว ผู้ซื้อจะสามารถดาวน์โหลดเกมตัวเต็ม ผ่านโปรแกรม Steam มาไว้บนเครื่องเพื่อเล่นผ่าน Steam ได้ โดยทุกเกมที่ซื้อผ่าน Steam จะเป็นเกมแท้ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ เกมใดที่ใช้ CD-Key เมื่อสั่งซื้อแล้ว Steam จะเก็บ CD-Key สำหรับเกมเกมนั้น ไว้ในตัวโปรแกรม และสามารถโหลดเกมของท่านได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง

เข้าลิงค์ http://store.steampowered.com/about/?snr=1_4_4__11 เพื่อดาวน์โหลดและติดตั้ง Steam
ถ้าติดตั้ง Steam ไว้ที่ไหน เวลาเราดาวน์โหลดเกมส์ เกมส์จะถูกติดตั้งไว้ในโฟลเดอร์ของ Steam

การตั้งค่า Steam
- ส่วนของการตั้งค่าแอคเคาท์
ส่วนนี้จะเป็นการตั้งค่าเกี่ยวกับความปลอดภัยของบัญชี, สถานะของบัญชี, และการทดสอบเกมส์ในช่วงเบต้า การทำ verify email กับ Steam เพื่อความปลอดภัยของบัญชี Steam
1. ให้ดูที่แท๊บแอคเคาท์แล้วเลือกคลิกที่ ยืนยันอีเมล์ (veriry email address)
2. คลิก next ไปเรื่อยๆนะครับ จนถึง finish
3. จากนั้นให้เราเข้าไปที่ email ของเราที่ใช้ทำการสมัครบัญชีกับ Steam
เราจะพบกับ email จากทาง Steam Support ส่งมาเพื่อให้เราคลิกยืนยัน (verify) ให้เราทำการคลิกลิงค์ที่ steam support ส่งมาเพื่อยืนยันบัญชีของเรากับ email ของเราครับ หลังจากคลิกลิงค์แล้วให้เราตรวจสอบสถานะการ verified ของเราได้ที่ ตั้งค่า แอคเคาท์ ดูที่ "อีเมล์ที่ใช้ติดต่อ" ถ้าการ verify สมบูรณ์สถานะจะเปลี่ยนเป็น " ตรวจสอบแล้ว "

- การตั้งค่าในส่วนของ Steam Community (การสนทนาขณะอยู่ในเกมส์)
ในส่วนนี้เป็นการตั้งค่าว่าเราจะเลือกใช้ Steam community ในขณะที่เราเล่นเกมส์หรือไม่ ถ้าไม่ต้องการ
ให้เอาเครื่องหมายถูกออกครับ

- การตั้งค่าการดาวน์โหลดต่างๆนะครับ
ในส่วนนี้จะให้เราเลือกความเร็วในการดาวน์โหลด, ภูมิภาคในการดวน์โหลด, การเลือกใช้งาน Steam cloud

การค้นหาเกมส์ที่ต้องการ
1. ไปที่หน้าร้านค้าแล้วพิมพ์ชื่อเกมส์ที่เราต้องการค้นหาในกรอบที่ระบุเอาไว้ว่า "ค้นหาในร้านค้า"
2. Steam จะแสดง pop-up เกมส์ที่ใกล้เคียงกับที่เราพิมพ์ชื่อไปในเมื่อสักครู่นี้ แต่ถ้ายังไม่มี pop-up เกมส์ที่ต้องการหาจริงๆให้จิ้มที่รูปแว่นขยายมุมขวา
3. Steam จะแสดงผลการค้นหาทั้งหมดให้เรา

วิธีการซื้อเกมส์ใน Steam
1. ให้ไปที่หน้าร้านค้าของเกมส์ที่เราต้องการจะซื้อนะครับ จากนั้นคลิกที่ " เพิ่มลงในรถเข็น "
2. หลังจากนั้นระบบจะทำการสอบถามว่าเกมส์ที่ต้องการจะซื้อ จะซื้อให้ใคร
ระหว่าง ซื้อให้ตัวเอง หรือ ซื้อเป็นของขวัญส่งให้เพื่อน
3. ในหน้านี้ทาง Steam จะให้เคกรอกรายจะเอียดการจ่ายเงิน และเลือกประเภทการจ่ายเงิน เช่น
- click and buy
- webmoney
- visa
- mastercard
- american express
- discover
- jcb
-paypal
ถ้าเรามีบัตรเครดิตประเภทไหนก็ให้เลือกชนิดบัตรนั้นๆ
ข้อมูลที่กรอกต้องเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
หลังจากกรอกรายละเอียดทั้งหมดแล้ว ก็คลิกที่ปุ่มสีเขียว " ดำเนินการต่อ "
หลังจากนั้นระบบจะแสดงยอดเงินทั้งหมด และให้ใส่เครื่องหมายถูกเพื่อยืนยันการซื้อเกมส์
คลิกยืนยัน เพียงเท่านี้เกมส์ที่ซื้อก็จะไปแสดงอยู่ในไลบรารี่เกมส์ของเรา
4. หน้าตาของใบเสร็จ
หลังจากขั้นตอนที่ 3 แล้ว Steam จะแสดงใบเสร็จให้เรา ถ้าเรามี Printer แนะนำให้ปรินท์ใบเสร็จเก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน เพราะในกรณีที่ Steam ID ของเราถูก Hack จะได้เป็นหลักฐานยืนยันกับทาง Steam Support ได้ว่าเราคือเจ้าของ ID ตัวจริง
ในกรณีที่ไม่มี Printer แนะนำให้ทำการ Print Screen หน้านี้เก็บไว้ด้วย เพื่อความปลอดภัยในอนาคต
แต่หลังจากซื้อเกมส์เสร็จทุกครั้ง Steam จะทำการส่ง email ใบเสร็จมาให้เราทุกครั้งนะครับ (ให้เก็บเอาไว้เพื่อความปลอดภัย)

ข้อดีของการซื้อเกมส์ใน Steam
- Steam เป็น digital download
- ช่วงเกมส์ลดราคาเราจะได้เกมส์ที่ราคาถูกมากๆ ถูกกว่าเกมส์ที่ขายในบ้านเรา

แหล่งอ้างอิง
https://sites.google.com/site/steamconvoy/home/steam-khux-xari
http://steam.th.softonic.com/

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ และระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มี 3 ประเภทดังนี้    
1. LAN (Local Area Network)
      ระบบเครื่องข่ายท้องถิ่น เป็นเน็ตเวิร์กในระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร ไม่ต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ คือจะเป็นระบบเครือข่ายที่อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรือต่างอาคาร ในระยะใกล้ๆ
2. MAN (Metropolitan Area Network)
      ระบบเครือข่ายเมือง เป็นเน็ตเวิร์กที่จะต้องใช้โครงข่ายการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์ เป็นการติดต่อกันในเมือง
3. WAN (Wide Area Network)
      ระบบเครือข่ายกว้างไกล หรือเรียกได้ว่าเป็น World Wide ของระบบเน็ตเวิร์ก โดยจะเป็นการสื่อสารในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลก จะต้องใช้มีเดียในการสื่อสารขององค์การโทรศัพท์

ประเภทของระบบเครือข่าย
มี 2 ประเภทดังนี้
1. Peer To Peer
      เป็นระบบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนระบบเครือข่ายมีฐานเท่าเทียมกัน คือทุกเครื่องสามารถจะใช้ไฟล์ในเครื่องอื่นได้ และสามารถให้เครื่องอื่นมาใช้ไฟล์ของตนเองได้เช่นกัน โดยจะกระจายทรัพยากรต่างๆ ไปสู่เวิร์กสเตชั่นอื่นๆ แต่จะมีปัญหาเรื่องการรักษาความปลอดภัย  เนื่องจากข้อมูลที่เป็นความลับจะถูกส่งออกไปสู่คอมพิวเตอร์อื่นเช่นกันโปรแกรมที่ทำงานแบบ Peer To Peer คือ Windows for Workgroup และ Personal Netware
2. Client / Server
     เป็นการประมวลผลแบบกระจาย โดยจะแบ่งการประมวลผลระหว่างเครื่องเซิร์ฟเวอร์กับเครื่องไคลเอ็นต์ แทนที่แอพพลิเคชั่นจะทำงานอยู่เฉพาะบนเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ก็แบ่งการคำนวณของโปรแกรมแอพพลิเคชั่น มาทำงานบนเครื่องไคลเอ็นต์ด้วย และเมื่อใดที่เครื่องไคลเอ็นต์ต้องการผลลัพธ์ของข้อมูลบางส่วน จะมีการเรียกใช้ไปยัง เครื่องเซิร์ฟเวอร์ให้นำเฉพาะข้อมูลบางส่วนเท่านั้นส่งกลับ มาให้เครื่องไคลเอ็นต์เพื่อทำการคำนวณข้อมูลนั้นต่อไป

อุปกรณ์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์
มี 8 อย่างดังนี้
1. โมเด็ม (Modem)
     เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิตัล เมื่อข้อมูลถูกส่งมายังผู้รับจะแปลงสัญญาณดิจิตัลให้กลับเป็นแอนะล็อก เมื่อต้องการส่งข้อมูลไปบนช่องสื่อสาร โมเด็มที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันมี 2 ประเภทโมเด็กในปัจจุบันทำงานเป็นทั้งโมเด็มและเครื่องโทรสาร
เรียกว่า Faxmodem
2. การ์ดเครือข่าย (Network  Adapter) หรือ การ์ด LAN
     เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกัน
3. เกตเวย์ (Gateway)
     เป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์หน้าที่หลักคือช่วยให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์  2 เครือข่ายหรือมากกว่า ซึ่งมีลักษณะไม่เหมือนกันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้เหมือนเป็นเครือข่ายเดียวกัน
4. เราเตอร์ (Router)
     เป็นอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อมโยงให้เครือข่ายที่มีขนาดหรือมาตรฐานในการส่งข้อมูลต่างกัน สามารถติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้ เราเตอร์จะทำงานอยู่ชั้น Network หน้าที่ของเราเตอร์ก็คือ ปรับโปรโตคอล (Protocol) (โปรโตคอลเป็นมาตรฐานในการสื่อสารข้อมูลบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์) ที่ต่างกันให้สามารถสื่อสารกันได้
5. บริดจ์ (Bridge)
     มีลักษณะคล้ายเครื่องขยายสัญญาณ บริดจ์จะทำงานอยู่ในชั้น Data Link บริดจ์ทำงานคล้ายเครื่องตรวจตำแหน่งของข้อมูล โดยบริดจ์จะรับข้อมูล จากต้นทางและส่งให้กับปลายทาง โดยที่บริดจ์จะไม่มีการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงใดๆแก่ข้อมูล บริดจ์ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายมีประสิทธิภาพลดการชนกันของข้อมูลลง บริดจ์จึงเป็นสะพานสำหรับข้อมูลสองเครือข่าย
6. รีพีตเตอร์ (Repeater)
     รีพีตเตอร์ เป็นเครื่องทบทวนสัญญาณข้อมูลในการส่งสัญญาณข้อมูลในระยะทางไกลๆสำหรับสัญญาณแอนะล็อกจะต้องมีการขยายสัญญาณข้อมูลที่เริ่มเบาบางลงเนื่องจากระยะทาง และสำหรับสัญญาณดิจิตัลก็จะต้องมีการทบทวนสัญญาณเพื่อป้องกันการขาดหายของสัญญาณเนื่องจากการส่งระยะทางไกลๆเช่นกัน รีพีตเตอร์จะทำงานอยู่ในชั้น Physical
7. ฮับ (HUB)
     เป็นอุปกรณ์ช่วยกระจ่ายสัญญาณไปยังเครื่องต่างๆที่อยู่ในระบบ หากเป็นระบบเครือข่ายที่มี 2 เครื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้ฮับสามารถใช้สายสัญญาณเชื่อมต่อ ถึงกันได้โดยตรง  แต่หากเป็นระบบที่มีมากกว่า 2 เครื่องจำเป็นต้องมีฮับเพื่อทำหน้าที่เป็นตัวกลาง
8. สายสัญญาณ
     เป็นสายสำหรับเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆในระบบเข้าด้วยกัน หากเป็นระบบที่มีจำนวนเครื่องมากกว่า 2 เครื่องก็จะต้องต่อผ่านฮับอีกทีหนึ่ง โดยสายสัญญาณสำหรับเชื่อมต่อเครื่องในระบบเครือข่าย จะมีอยู่ 4 ประเภท คือ
     *สาย Coaxial
เป็นสายเส้นเดี่ยวแบบที่มีเปลือกเป็นสายโลหะถัก เพื่อป้องกันคลื่นรบกวน มี 2 แบบ คือ แบบหนา
และแบบบาง โดยมากใช้กับสถาปัตยกรรมเครือข่ายแบบอีเทอร์เน็ต ซึ่งสามารถใช้ต่อเชื่อมกับ
เครื่องคอมพิวเตอร์ได้โดยตรง ในลักษณะที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์รวมสาย เช่น ฮับ เข้ามาช่วย มีลักษณะ
เป็นสายกลมคล้ายสายโทรทัศน์  ส่วนมากจะเป็นสีดำสายชนิดนี้ สามารถส่งสัญญาณได้ไกล
ประมาณ 200 เมตร แต่ปัจจุบันเริ่มใช้กันน้อยลงเพราะถูกทดแทนด้วยสายแบบ UTP ซึ่งราคาถูกและ
มีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ดีกว่า
     *สาย UTP (Unshied  Twisted  Pair)
เป็นสายคู่ตีเกลียวไม่หุ้มฉนวน เป็นสายขนาดเล็กคล้ายสายโทรศัพท์ แต่มี 8 เส้น ตีเกลียวเป็นคู่ๆ
 เพื่อลดสัญญาณรบกวน แต่ไม่มีเปลือกที่เป็นโลหะถัก หุ้มเหมือนสายโคแอกเชียล จึงมีขนาดกระทัดรัดกว่า แต่ลักษณะการเดินสายจะต้องต่อจากเครื่องเข้าหาอุปกรณ์รวมสายหรือฮับเท่านั้น ปัจจุบัน
เป็นสายที่ได้รับความนิยมแพร่หลายมากที่สุด เพราะมีราคาถูก ติดตั้งง่าย รวมทั้งสามารถรองรับกับเทคโนโลยีใหม่ที่มีความเร็วสูง สามารถส่งสัญญาณได้ไกลประมาณ 100 เมตร
     *สายคู่ตีเกลียวหุ้มฉนวนหรือ STP (Shielded Twisted-Pair) เป็นสายคู่เล็กๆ ตีเกลียวไขว้กันแบบ สายUTP แต่มีฉนวนหรือเปลือกหุ้มที่เป็นโลหะถัก เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนในแบบเดียวกับสาย
โคแอกเชียล ถูกนำมาใช้ในกรณีที่เชื่อมต่อเป็นระยะทางไกลเกินกว่าที่จะใช้สาย UTP ได้ หรือใช้กับเครือข่าย LAN แบบ Token-Ring แต่ก็ไม่เป็นที่แพร่หลายนัก
     *สายใยแก้วนำแสง (Fiber Optic)
เป็นสายที่ใช้กับการส่งสัญญาณด้วยแสง ซึ่งจะต้องมีอุปกรณ์พิเศษโดยเฉพาะ มีข้อดีตรงที่ส่งได้
เป็นระยะทางไกลโดยไม่มีปัญหาสัญญาณรบกวน แต่มักใช้ในกรณีที่เป็นโครงข่ายหลักเชื่อมระหว่าง
เครือข่ายย่อยๆ มากกว่า

รูปแบบการเชื่อมต่อของระบบเครือข่าย LAN Topology
มี 4 แบบ
1. แบบBus
     การเชื่อมต่อแบบบัสจะมีสายหลัก 1 เส้น เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และไคลเอ็นต์ทุกเครื่องจะต้องเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลหลักเส้นนี้ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์จะถูกมองเป็น Node เมื่อเครื่องไคลเอ็นต์เครื่องที่หนึ่ง (Node A) ต้องการส่งข้อมูลให้กับเครื่องที่สอง (Node C) จะต้องส่งข้อมูล และแอดเดรสของ Node C ลงไปบนบัสสายเคเบิ้ลนี้ เมื่อเครื่องที่ Node C ได้รับข้อมูลแล้วจะนำข้อมูล ไปทำงานต่อทันที
2. แบบ Ring
     การเชื่อมต่อแบบวงแหวน เป็นการเชื่อมต่อจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง จนครบวงจร ในการส่งข้อมูลจะส่งออกที่สายสัญญาณวงแหวน โดยจะเป็นการส่งผ่านจากเครื่องหนึ่ง ไปสู่เครื่องหนึ่งจนกว่าจะถึงเครื่องปลายทาง ปัญหาของโครงสร้างแบบนี้คือ ถ้าหากมีสายขาดในส่วนใดจะทำ ให้ไม่สามารถส่งข้อมูลได้ ระบบ Ring มีการใช้งานบนเครื่องตระกูล IBM กันมาก เป็นเครื่องข่าย Token Ring ซึ่งจะใช้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องมินิหรือเมนเฟรมของ IBM กับเครื่องลูกข่ายบนระบบ
3. แบบ Star
     การเชื่อมต่อแบบสตาร์นี้จะใช้อุปกรณ์ Hub เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อ โดยที่ทุกเครื่องจะต้องผ่าน Hub สายเคเบิ้ลที่ใช้ส่วนมากจะเป็น UTP และ Fiber Optic ในการส่งข้อมูล Hub จะเป็นเสมือนตัวทวนสัญญาณ (Repeater) ปัจจุบันมีการใช้ Switch เป็นอุปกรณ์ในการเชื่อมต่อซึ่งมีประสิทธิภาพการทำงานสูงกว่า
4. แบบ Hybrid
     เป็นการเชื่อมต่อที่ผสมผสานเครือข่ายย่อยๆ หลายส่วนมารวมเข้าด้วยกัน เช่น นำเอาเครือข่ายระบบ Bus, ระบบ Ring และ ระบบ Star มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เหมาะสำหรับบางหน่วยงานที่มีเครือข่ายเก่าและใหม่ให้สามารถทำงานร่วมกันได้ ซึ่งระบบ Hybrid Network นี้จะมีโครงสร้างแบบ Hierarchical หรือ Tre ที่มีลำดับชั้นในการทำงาน

แหล่งอ้างอิง
http://csmju.jowave.com/cs100_v2/lesson4-3.html
http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_media2.htm

วันศุกร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Type of Canon Shell


กระสุนปืนใหญ่มีหลายขนาดตั้งแต่ 20mm จนถึง 600mm แต่ขนาดไม่สำคัญเท่ากับการเลือกใช้ชนิดของกระสุนให้ตรงกับสถานการณ์

ชนิดของกระสุนปืนใหญ่มี 5 ชนิดดังนี้
1.High Explosive ( HE )

กระสุนขนิดนี้นั้น เมื่อยิงออกไปตกลงบนพื้นที่เป้าหมายจะทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรงทุกทิศทุกทาง จะใช้เมื่อเป้าหมายเป็นทหารราบ อาคาร และยานเกราะเบาอีกด้วย แต่ไม่สามารถทำลายหรือสร้างความเสียหายให้กับรถถังที่มีเกราะหนาได้

กระสุนประเภทนี้มักจะใช้โดยปืนใหญ่บนเรือรบ หรือ ปืนใหญ่อัตราจร

2. Armor Piercing ( AP )

กระสุนชนิดนี้เป็นกระสุนเจาะเกราะที่รถถังในสมัยสงครามโลกครั้งที่1 และครั้งที่2 นิยมใช้กัน แต่ตอนนี้ไม่ได้รับความนิยมแล้ว เพราะปัจจุบันมีกระสุนเจาะเกราะที่ทันสมัยยิ่งกว่า กระสุนชนิดนี้จึงถูกนำไปใช้กับ
ปืนใหณ่ขนาดพกพาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางลำกล้องใหญ่ประมาน 30mm เท่านั้น

3. Armor Piercing Fin Stabilized Discarding Sabot (APFSDS)

เป็นกระสุนที่มีการพัฒนามาจาก Armor Piercing ( AP ) เพราะกลไลใหม่นี้ได้นำมาใช้กับกระสุนปืนใหญ่แล้วทำให้มีอำนาจในการทะลุทะลวงอย่างมหาศาล เหมาะสำหรับการเจาะเกราะรถถังทุกประเภท
แต่แทบจะไม่มีผลกับทหารราบเลย

4. High Explosive Anti Tank ( HEAT )

เป็นกระสุนที่พัฒนามาจาก High Explosive ( HE ) ด้วยวิธีการควบคุมแรงระเบิดให้ไปในทิศทางเดียวกันอย่างเจาะจง ทำให้มันสามารถเจาะเกราะรถถังได้อย่างดีเยี่ยม

5. High Explosive Squash Head
เป็นกระสุนอีกชนิดหนึ่งที่พัฒนามาจาก High Explosive ( HE ) แทนที่มันจะเจาะเกราะที่หนาของรถถัง แต่มันกลับส่งแรงระเบิดที่มหาศาลทำให้เกราะภายในรถถังแตกออกเป็นเศษเล็กๆ และไปชนกับคนที่อยู่ภายในรถถังอย่างรุนแรงแทน

แหล่งที่มา
http://yslbk.weebly.com/blog/military-information-1-cannon-shell